วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

ลิปบาล์มจากทับทิม



 




โครงงานวิทยาศาสตร์ 
เรื่อง  ลิปบาล์มทับทิม


โดย
นาย เจษฎา        บุญเรือง         ชั้น ม.5/4       
                                              นาย สุรชา           นกดำ             ชั้น ม.5/4          
                                              นาย สหรัฐ          รัตนวิจิตร      ชั้น ม.5/4          





ครูที่ปรึกษาโครงงาน
นางรตนัตตยา จันทนะสาโร



รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์
ภาคเรียนที่ 1    ปีการศึกษา 255โรงเรียนภัทรบพิตร










ชื่อโครงงาน          ลิปบาล์มทับทิม
ผู้จัดทำ                  นาย เจษฎา        บุญเรือง            ชั้น ม.5/4      
                           นาย สุรชา           นกดำ             ชั้น ม.5/4             
                           นาย สหรัฐ          รัตนวิจิตร      ชั้น ม.5/4
ระดับ                     ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ครูที่ปรึกษา           นางรตนัตตยา จันทนะสาโร
สถานที่ศึกษา       โรงเรียนภัทรบพิตร

บทคัดย่อ 
โครงงานเรื่อง  ลิปบาล์มทับทิมมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำลิปบาล์มจากทับทิม และเปรียบเทียบคุณภาพลิปบาล์มจากทับทิม กับลิปบาล์มยี่ห้ออื่นๆ โดยนำน้ำทับทิมปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ นำไปตั้งไฟอ่อนๆกับ ปิโตรเลียมเจล 5 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 1 ช้อนชา และเติมสีโดยการใส่ลิปสติกสีชมพูลงไป จากนั้นคนทุกอย่างให้เข้ากันและนำมาพักให้เย็นตัวลงเล็กน้อย แล้วจึงใส่กระปุกที่เตรียมไว้  แล้วน้ำไปแช่ตู้เย็น 5-10 นาที ก็จะแข็งตัวกลายเป็นลิปบาล์มจากทับทิม เมื่อได้ลิปบาล์มจากทับทิม แล้วจึงนำไปทดสอบคุณภาพเปรียบเทียบกับลิปบาล์มยี่ห้ออื่น โดยการทดสอบคุณภาพด้านลักษณะเนื้อของลิป  ด้านกลิ่น และสรรพคุณของลิปบาล์มทั้งสองชนิด ผลการทดสอบพบว่า ด้านลักษณะเนื้อ ลิปบาล์มจากทับทิมมีเนื้อ มีความนิ่ม ไม่ลื่นมาก และละเอียด ส่วนกลิ่นของลิปทับทิมเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำผึ้งและน้ำมันมะพร้าว และมีสีชมพูอ่อนๆของลิปสติกที่นำมาเป็นส่วนผสม สรรพคุณของลิปบาล์มทับทิม เนื่องจากเนื้อลิปมีลักษณะไม่ลื่นมากจึงสามารถเก็บความชื้นไว้ได้ยาวนาน และมีส่วนผสมของน้ำผึ้งจึงช่วยบำรุงให้ปากไม่แห้ง และดูอิ่มเอิบ และมีส่วนผสมสมจากทับทิมที่ช่วยป้องกันริมฝีปากจากแสงแดด ส่วนลิปสติกยี่ห้ออื่น พบว่า มีเนื้อละเอียดหนืดๆ  สีชมพูอ่อนๆกลิ่นหอมกุหลาบ  สรรพคุณช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ยาวนานทำให้ปากไม่แห้ง จากผลการทดสอบดังกล่าวพบว่า ลิปบาล์มจากทับทิมมีคุณภาพใกล้เคียงกับลิปบาล์มมากทั้งในเรื่องของเนื้อลิป สีและสรรพคุณบางอย่าง





กิตติกรรมประกาศ

ขอขอบพระคุณผู้ที่สนับสนุนและช่วยเหลือการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ครั้งนี้  ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อยตามวัตถุประสงค์  ดังรายชื่อผู้สนับสนุนต่อไปนี้ ว่าที่ พ.ต.สุพจน์ ธนานุกูล ผู้อำนวยการโรงเรียนภัทรบพิตร ครูทุกท่านในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และนางรตนัตตยา จันทนะสาโร ครูที่ปรึกษาโครงงาน ที่ได้ตรวจแก้ไข คำแนะนำ รายงานโครงงานฉบับสมบูรณ์ตลอดเวลาในการทำโครงงาน  คุณค่าและประโยชน์ของโครงงานฉบับนี้ ขอมอบให้สำหรับผู้ที่สนใจและค้นคว้าวิจัย และบิดามารดา  ครูอาจารย์ทุกท่านที่มีพระคุณยิ่ง






บทที่ 1
บทนำ

ที่มาและความสำคัญ    
            ปัญหาของริมฝีปากก็ไม่แตกต่างจากผิวพรรณในส่วนอื่นของร่างกาย และสิ่งที่ก่อความกังวลให้กับหญิงสาวจำนวนมากก็คือ ปัญหาริมฝีปากคล้ำ ริมฝีปากแห้งและแตกหรือลอกเป็นขุย ซึ่งหากดูแลไม่ดีพอหรือแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ริมฝีปากก็จะยิ่งดำคล้ำทำให้ดูน่าเกลียด และบั่นทอนความงดงามของใบหน้าลงไปมากทีเดียว

โดยคณะผู้จัดทำจะทำการศึกษาการทำลิปบาล์มทัมทิม และนำทำลิปบาล์มจากทัมทิมมาทำการเปรียบเทียบคุณภาพกับลิปบาล์มยี่ห้ออื่น
โครงงานเรื่อง ลิปบาล์มทัมทิม ถือเป็นการนำสรรพคุณจากผลไม้ตามท้องตลาดมาใช้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง

วัตถุประสงค์   
1.             เพื่อศึกษาการทำลิปบาล์มทัมทิม
2.             เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพของลิปบาล์มทัมทิม กับลิปบาล์มทั่วไป

สมมติฐาน         
                ลิปบาล์มทัมทิม มีคุณภาพใกล้เคียงกับลิปบาล์มทั่วไป


ตัวแปรที่ศึกษา
                ตัวแปรต้น                            น้ำทับทิม น้ำผึ้ง น้ำมันมะพร้าว ปิโตรเลียมเจล และลิปสติกสี
                ตัวแปรตาม                           คุณภาพและสรรพคุณของลิปที่ได้
                ตัวแปรควบคุม                     ปริมาณน้ำทับทิม น้ำผึ้ง น้ำมันมะพร้าว ปิโตรเลียมเจล และลิปสติกสี

                                                                         
ระยะเวลาในการศึกษา
            วันที่ 19 สิงหาคม -10 กันยายน 2559

งบประมาณ    
            250 บาท

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.             นำวัสดุธรรมชาติมาทำให้เกิดประโยชน์
2.             เพิ่มความหลากหลายของลิปบาล์มให้มากยิ่งขึ้น
3.             เพิ่มทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์

















บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. ทับทิม







ภาพที่ 1  ทับทิม
ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1_(%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89)
 ชื่อ : ทับทิม
ชื่ออังกฤษ : Pomegranate
          ทับทิม (Pomegranate) ชื่อท้องถิ่น เซี๊ยะลิ้ว, พิลา, พิลาขาว, มะก่องแก้ว, มะเก๊าะ, หมากจัง เป็นไม้ผลขนาดเล็ก มีขนาดประมาณ 5-8 เซนติเมตร
          ทับทิมมีถิ่นกำเนิดจากตะวันออกของประเทศอิหร่าน ทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานและทางตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ทับทิมจึงชอบอากาศหนาวเย็นและอยู่บนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลอย่างน้อย 300 เมตร ยิ่งอากาศหนาวเนื้อทับทิมจะมีสีแดงเข้มมากขึ้น
ประโยชน์
               ผลทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้มีรสหวานหรือเปรี้ยวอมหวานทับทิมเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ น้ำทับทิมมีวิตามินซีสูงและยังมีสารเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่สูงเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย
              น้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและมีประสิทธิภาพสูงมากสามารถลดภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง บรรเทาโรคโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มพลังและความงาม ดื่มน้ำทับทิมคั้นวันละแก้วจะช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด ลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงและช่วยเสริมสุขภาพของหัวใจให้ดีขึ้น
เปลือกทับทิม
               จากการศึกษาวิจัยพบว่าในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง 22-25% โดยประกอบด้วยสารแทนนินในกลุ่ม มี Gallotannin เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนี้ยังพบสารแทนนินในกลุ่ม Ellagictannin ในปริมาณสูงสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี สารสกัดจากเปลือกผลด้วยเอทานอลมีฤทธิ์กำจัดอนุมูลอิสระ[1] โดยมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งกว่า 13 ชนิด ไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น
               นอกจากนี้ยังพบว่ามีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร และลำไส้ใหญ่ ซึ่งพบว่าการให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลอง สารดังกล่าวจะไปเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็งแบบอะมอพโดซีส (Amoptosis) ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้[ต้องการอ้างอิง]
ความเชื่อ
ทับทิมเป็นผลไม้มงคลของจีน กิ่งใบทับทิมเป็นใบไม้สิริมงคลที่ใช้ทุกงานที่มีน้ำมนต์ประกอบพิธี โดยจะใช้พรมน้ำมนต์และ มีไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัย

ที่มา : http://puechkaset.com/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1/
ประโยชน์ทับทิม
เนื้อเมล็ด และเมล็ด
1. เนื้อหุ้มเมล็ดนิยมนำมารับประทานเป็นผลไม้สด หรือ นำมาคั้นน้ำที่เรียกว่า น้ำทับทิม
2. เมล็ดทับทิมนำมาสกัดน้ำมันสำหรับใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง
เปลือกทับทิม
1. สารสกัดจากเปลือกทับทิมนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง
คุณค่าทางโภชนาการทับทิม
พลังงาน : 70 กิโลแคลอรี่
คาร์โบไฮเดรต : 17.17 กรัม
โปรตีน : 0.95 กรัม
น้ำตาล : 16.57 กรัม
วิตามิน C : 6.10 มิลลิกรัม
แคลเซียม : 3.00 มิลลิกรัม
เหล็ก : 0.30 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม : 259 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส : 8 มิลลิกรัม
วิตามิน B1 : 0.030 มิลลิกรัม
วิตามิน B2 : 0.063 มิลลิกรัม
วิตามิน B3 : 0.300 มิลลิกรัม
วิตามิน B5 : 0.596 มิลลิกรัม
วิตามิน B6 : 0.106 มิลลิกรัม
กรดโฟลิก : 6 ไมโครกรัม

สาระสำคัญที่พบ
เนื้อผล หรือ น้ำทับทิม
– Anthocyanins
– Glucose
– Ascorbic acid
– Ellagic acid
– Gallic acid
– Caffeic acid
– Catechin
– Quercetin
– Rutin
– Iron
– Amino acid
– Callistephin
– Chrysanthemin
– Cyanin
– Pectin
– Granatin B
– Pelargonin
– Punicalagin
– Punicalin
เปลือกเมล็ด และน้ำมันจากเมล็ดทับทิม
– Punicic acid
– Ellagic acid
– Fatty acid
– Sterols
– Destrone
– Callistephin
– Chrysanthemin
– Cyanin
– Delphin
– Delphinidin
– Pelargonin
เปลือกผลทับทิม
– Phenolic punicalagins
– Gallic acid
– Fatty acid
– Citrict acid
– Malic acid
– Isoquercitrin
– Catechin
– Quercetin
– Rutin
– Flavonols
– Flavones
– Flavonones
– Anthocyanidins
– Gallotannic acid
– Hydrolyzable tannin
– Wax
– Resin
– Mannitol
– Gum
– Inulin
– Mucilage
– Pectin
– Calcium oxalate
ใบทับทิม
– Tannins
– Flavones glycosides
– Luteolin
– Apigenin
– Betulinic acid
ดอกทับทิม
– Gallic acid
– Ursolic acid
– Triterpenoids
– Maslinic acid
– Asiatic acid
ราก และเปลือกต้นทับทิม
– Pelletierine
β sitoterol
– Sorbitol
– Isopelletierine
– Ellagitannins
– Manitol
– Punicalin
– Punicalagin
– Ellagitannin
ที่มา : Jurenka, (2008)(1)
สรรพคุณทับทิม
เนื้อทับทิม
ต้านมะเร็งผิวหนัง
ต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก
ต้านมะเร็งเต้านม
ต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด
ช่วยฟอกเลือด
กระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือด
ป้องกันโรครูมาตอยด์
ต้านอนุมูลอิสระ ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว
ช่วยให้ผิวพรรณแลดูสดใส และอ่อนกว่าวัย
ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด
เปลือกทับทิม (มีรสฝาด)
เปลือกทับทิมนำมาต้มน้ำดื่ม ใช้ขับพยาธิ
กินเปลือกทับทิมสดหรือนำเปลือกมาต้มดื่ม ใช้แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง
น้ำต้มเปลือกทับทิมใช้ดื่มรักษาโรคบิด
น้ำต้มจากเปลือกใช้ดื่มรักษาอุจจาระเป็นเลือด
เปลือกนำมาตำให้ละเอียด ใช้ทาประคบรักษาแผลติดเชื้อ แผลเป็นหนอง และแผลอักเสบ ทำให้แผลแห้ง และหายเร็ว
เปลือกทับทิมบดนำมาทารักษาโรคผิวหนัง
นำเปลือกทับทิมมาต้มน้ำ ใช้สำหรับอาบป้องกันโรคผิวหนัง
นำเปลือกทับทิมมาเคี้ยว ช่วยลดกลิ่นปาก และกำจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ
ดอกทับทิม
ดอกนำมาบดใช้อุดจมูกรักษาเลือดกำเดาออก
นำดอกมาบดใช้ประคบสำหรับสำหรับห้ามเลือด
สรรพคุณอื่นๆคล้ายกับเปลือกผล

ราก และลำต้น
นำราก และลำต้นมาต้มน้ำดื่ม ใช้ขับพยาธิ
น้ำต้มจากราก และลำต้นช่วยเป็นยาขับปัสสาวะ
น้ำต้นจากทั้งสองส่วนช่วยแก้อาการกระหายน้ำ
ใบทับทิม
นำใบมาต้มน้ำอาบสำหรับรักษาโรคผิวหนัง
นำใบมาบดใช้ประคบห้ามเลือด
น้ำต้มจากใบหรือใช้ใบบดนำมาสระผม ช่วยรักษารังแค และลดอาการคันศรีษะ
ใบบดนำมาประคบรักษาแผลสด แผลติดเชื้อ ทำให้แผลหายเร็ว
ตัวอย่างการใช้
1. การถ่าย และกำจัดพยาธิ ให้ใช้เปลือกลำต้นหรือราก 1-2 กำมือ นำมาต้มเคี่ยวนาน 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มก่อนอาหารทุกวัน วันละ 3 ครั้ง นาน 5-7 วัน
2. รักษาท้องร่วง ท้องเสีย ให้นำรากหรือลำต้นมาต้มเคี่ยวนาน 2 ชั่วโมง ก่อนดื่มวันละ 3-4 ครั้ง หลังเกิดอาการท้องเสีย และดื่มติดกัน 1-2 วัน จนกว่าอาการจะหาย
พิษของทับทิม
เปลือกทับทิมที่มีสาร gallotannin ในปริมาณความเข้มข้นสูงจะมีพิษต่อตับ
การให้สารสกัดจากเปลือกทับทิม ขนาด 0.4 มล./วัน แก่นกกระจอก สามารถทำให้นกกระจอกตายได้
การให้สารสกัดจากต้นทับทิมด้วยการฉีดเข้าท้องหนูทดลอง ขนาด 0.25 กรัม/น้ำหนักกิโลกรัม สามารถทำให้หนูทดลองตายเกินครึ่งหนึ่ง
ทับทิม ประโยชน์ 40 ข้อ







ภาพที่ 2 ทับทิม
ที่มา : http://frynn.com/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1/
ประโยชน์ของทับทิม
1.             ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
2.             ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยในการชะลอวัย
3.             น้ำทับทิมมีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหน้าเต่งตึง ด้วยการนำน้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชามาทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก
4.             น้ำทับทิมช่วยเพิ่มความสดชื่น แก้กระหาย คลายร้อนได้เป็นอย่างดี
5.             ช่วยระงับกลิ่นปากได้อีกด้วย
6.             ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง บรรเทาอาการหวัด
7.             ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด
8.             ทับทับมีวิตามินซีสูงมาก และยังมีวิตามินเอ วิตามินอี และกรดโฟลิกอีกด้วย
9.             ใบทับทิมใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆที่ใช้น้ำมนต์ในการประกอบพิธี
10.      ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
11.      ช่วยในการปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน
12.      ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ
13.      ช่วยในการบำบัดอาการของโรคเบาหวาน
14.      ช่วยบำรุงสายตา แก้อาการตาอักเสบ
15.      น้ำต้มเปลือกทับทิมช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้
16.      ช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเสริมสุขภาพหัวใจให้ดียิ่งขึ้น
17.      ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
18.      ช่วยบำรุงสุขภาพฟันให้แข็งแรง
19.      ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน
20.      ช่วยลดความดันโลหิตสูง
21.      ช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด
22.      ช่วยในการฟอกไตและท่อปัสสาวะ
23.      ช่วยลดสภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง
24.      มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆได้เป็นอย่างดี
25.      ช่วยแก้อาการระดูขาว ตกเลือด
26.      ช่วยบำรุงสุขภาพตับให้แข็งแรง
27.      มีส่วนช่วยบำรุงและต่อต้านอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย
28.      เปลือกทับทิมสามารถรักษาโรคท้องเดินและโรคบิดได้ เพราะมีสารในกลุ่มแทนนินอยู่ในปริมาณมาก
29.      เปลือกทับทิมมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
30.      เปลือกผลช่วยรักษาแผลหิด กลากเกลื้อน
31.      เปลือกของทับทิมช่วยต้านการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
32.      ยาต้มจากเปลือกผลช่วยรักษาอาการอุจจาระร่วงได้ โดยช่วยลดจำนวนครั้งในการขับถ่าย และทำให้ระยะเวลาเริ่มถ่ายครั้งแรกนานขึ้น
33.      เปลือกต้นและเปลือกรากของทับทิม สามารถใช้เป็นยาขับพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลมได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำเปลือกของรากและต้นที่ยังสด ๆประมาณครึ่งกำมือ เติมกานพลูวงไปเล็ก น้อยเพื่อแต่งรส นำมาต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจกเหลือถ้วยครึ่ง แล้วนำมารับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงจึงรับประทานยาถ่าย เช่น ดีเกลืออีก 2 ช้อนโต๊ะตามไป อีกครั้งหนึ่ง
34.      ดอกทับทิมใช้ห้ามเลือดได้ ด้วยการนำดอกแห้งมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาทาหรือโรยใส่บริเวณบาดแผล
35.      ดอกทับทิม ช่วยแก้อาการหูชั้นในอักเสบ
36.      ใบของทับทิมสามารถนำมาอมกลั้วคอ หรือทำเป็นยาล้างตาก็ได้
37.      ช่วยลดปัญหาผมร่วง ด้วยการนำยาพอกที่ได้จากใบ แล้วนำมาพอกหนังศีรษะ
38.      ชาวอินเดียนำน้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกของทับทิมมาปรุงเป็นยาธาตุ สมานลำไส้ บำรุงหัวใจ
39.      ทับทิมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้มากกว่า 13 ชนิด โดยช่วยให้เซลล์มะเร็งไม่เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ เป็นต้น
40.      ช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่

ปัญหาของริมฝีปาก






ภาพที่ 3 ริมฝีปาก
ที่มา https://www.doctor.or.th/article/detail/3444
ปัญหาของริมฝีปากก็ไม่แตกต่างจากผิวพรรณในส่วนอื่นของร่างกาย และสิ่งที่ก่อความกังวลให้กับหญิงสาวจำนวนมากก็คือ ปัญหาริมฝีปากคล้ำ ริมฝีปากแห้งและแตกหรือลอกเป็นขุย ซึ่งหากดูแลไม่ดีพอหรือแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ริมฝีปากก็จะยิ่งดำคล้ำทำให้ดูน่าเกลียด และบั่นทอนความงดงามของใบหน้าลงไปมากทีเดียว
สวยงามตามธรรมชาติ
สีของริมสีปากในคนปกติมีตั้งแต่ชมพูสด สีแดง ไปจนถึงสีคล้ำ การเปลี่ยนแปลงของสีที่ริมฝีปาดเป็นลักษณะเฉพาะตัวบุคคล เช่นคนผิวคล้ำก็มีแนวโน้มว่าปากจะมีสีเข้มมากกว่าคนผิวขาว
นอกจากนั้นก็ยังเป็นไปตามวัยและสภาพแวดล้อมด้วย ที่ธรรมชาติได้กำหนดไว้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น ริมฝีปากก็จะเริ่มมีสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับสีของผิวหนังส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย เพราะฉะนั้นก็อย่ากังวลไปเลย

ปัญหาของริมฝีปาก
ริมฝีปากเป็นอวัยวะบนใบหน้าที่ยื่นนูนออกมาเช่นเดียวกับจมูกและโหนกแก้ม ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม และความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ร้อน หนาว และแล้งแห้ง ไม่ต่างจากใบหน้าที่ต้องเจอปัญหาการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำต่าง ๆ

นอกจากนี้ อาหาร เครื่องดื่ม ยาบางชนิด การสูบบุหรี่ ยาสีฟัน ลิปสติก และความเจ็บป่วย ก็มีส่วนในการทำให้ริมฝีปากมีสีคล้ำขึ้นด้วย

ริมฝีปากดำคล้ำ เกิดจากเหตุปัจจัยอย่าง ลองพิจารณาดูว่าปัญหาของคุณเกิดจากสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า
ลักษณะเฉพาะบุคคล ดังที่กล่าวว่า คนผิวเข้มและมีรอยฝีปากสีเข้มมากกว่าคนผิวขาว ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติของคนคนนั้น
อุณหภูมิ อาจมีผลทำให้สีของริมฝีปากเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ช่วงที่อากาศหนาวเย็น ปากอาจจะมีสีคล้ำขึ้น เพราะเส้นเลือดหดตัวและมีเลือดดำคั่งค้างมากกว่าปกติ
ผู้ที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ เช่น เลือดจาง เจ็บป่วยเรื้อรัง ผู้ป่วยระยะฟื้นไข้ ปริมาณเลือดที่ไหลมาเลี้ยงริมฝีปากมีน้อย จึงทำให้ปากดูซีดเขียว ไม่มีสีสัน หรือผู้ป่วยโรคหัวใจที่เลือดมีสีเข้มข้น ก็จะทำให้ริมสีปากดูกล้ำกว่าคนปกติได้
อาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน ก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้เกิดปัญหาปากคล้ำ ตัวอย่างเช่น ผักขึ้นฉ่าย ผักชีฝรั่ง หอม กระเทียม ขิง หรือผลไม้ ของเปรี้ยวพวกส้ม มะนาว มะกรูด สับปะรด มะม่วง ฯลฯ เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีสารที่ชื่อว่า โซราแลน ( psoralen ) สารดังกล่าวเมื่อตกค้างตามริมฝีปากก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาแต่ย่างไร แต่ถ้าสารนั้นสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด ก็จะเกิดปฏิกิรียาเคมีทำให้ผิวริมฝีปากอักเสบ และมีการกระตุ้นเซลล์สร้างให้สร้างเม็ดสีออกมามาก ๆ จนปากดำคล้ำ ( ทางแพทย์เรียกว่าปฏิกิริยาแพ้แดด )
ยาบางชนิด ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้แดดได้ เช่น เบาหวาน ยาขับปัสสาวะ ยารักษาเชื้อรา ยารักษาหวัดหรือโรคภูมิแพ้
ริมฝีปากแห้ง ปากแตก หรือลอกเป็นขุย ส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งที่ใช้อยู่ชีวิตประจำวันนี่เอง โดยที่หลายคนนึกถึง เช่น
ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งส่วนผสมของฟลูออไรด์หรือแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง รวมถึงสารที่ทำให้เกิดฟอง และสารที่ทำให้เกิดความสดชื่นที่มีรสเผ็ดซ่าในยาสีฟันด้วย
ลิปสติก ซึ่งสารประกอบที่ก่อให้เกิดปัญหาได้บ่อยที่สุดก็คือ สี กลิ่น น้ำหอม ลาโนลิน ( ที่ให้ความชุ่มชื้น ) และสารกันบูด 
สิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น อากาศ ที่เย็นและแห้งในหน้าหนาว หรือการทำงานในห้องปรับอากาศตลอดเวลา และการดื่มน้ำน้อย เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง
การเลียริมฝีปาก ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้แก้ปัญหาปากแห้งและแตก แต่ความจริงที่ค้านกันความเคยชินของคนทั่วไป กลับกลายเป็นว่าหากเลียริมฝีปากบ่อย เอนไซม์ที่ช่วยย่อยอาหารในน้ำลายจะยิ่งรบกวนผิวริมฝีปากให้แห้งมากยิ่งขึ้น
การใช้ลิปปาล์ม เป็นเวลานานจนติดเป็นนิสัย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปากแห้ง ลิปปาล์มอาจช่วยบรรเทาริมฝีปากแห้งได้ชั่วคราว แต่ในระยะยาวอาจทำให้ริมฝีปากแตกแห้งมากขึ้น เพราะสาระสำคัญที่ผสมอยู่ในลิปปาล์มทั่วไปจะดูดความชื้นออกจากริมฝีปาก จึงทำให้ต้องทาลิปปาล์มบ่อยมากขึ้น

แก้ไขได้ไม่ยาก
หากสำรวจตัวเองจะได้คำตอบแล้วว่า ต้นตอของปัญหาริมฝีปากดำคล้ำ แห้ง แตก และลอกเป็นขุยเกิดจากสาเหตุใด วิธีแก้ไขก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
1. ดื่มน้ำมาก ๆ มากจนเพียงพอที่จะให้ความชุ่มชื้นทั่วถึงทุกส่วนของผิวหนัง รวมทั้งริมฝีปาก เพราะยิ่งอายุมากขึ้น เซลล์ในร่างกายจะเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง
2. เมื่อกินผักผลไม้เสร็จ ล้างปากให้สะอาดทุกครั้ง
3. เปลี่ยนยาสีฟัน ที่มีฟองมาก รสเผ็ดซ่า เป็นยี่ห้อที่มีฟองน้อยและเผ็ดน้อย หรือใช้ยาสีฟันเด็ก หรืออาจใช้วิธีทาวาสลินขาวเคลือบริมฝีปากก่อนแปรง เพื่อป้องกันฟองยาสีฟันรบกวน ถ้าไม่มีวาสลินขาวจะใช้เบบี้ออย ( beby oil ) แทนก็ได้


4. อย่าเลียริมฝีปาก แม้ว่าจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ( ชั่วคราว ) แต่เมื่อความชื้นระเหยกลับจะทำให้ปากยิ่งแห้งมากขึ้น
5. ทาริมฝีปากบ่อย ๆ ด้วยวาสลินขาวแทนลิปกลอสหรือลิปมันที่แห้งหรือแห้งไป หรืออาจใช้ลิปปาล์มที่มีส่วนประกอบเป็นสารจากธรรมชาติ และมีสารป้องกันแสงแดดรวมอยู่ด้วย

การย้อมสีริมฝีปากให้แดงสด แม้จะมีให้บริการในร้านเสริมสวยหลายแห่ง ก็ไม่แนะนำให้แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ เพราะนอกจากจะไม่คงทนถาวรและไม่เป็นธรรมชาติแล้ว อาจเป็นอันตรายจากสารเคมีเหล่านั้นได้

น้ำผึ้ง สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำผึ้ง 54 ข้อ !







ภาพที่ 4 น้ำผึ้ง
น้ำผึ้ง
น้ำผึ้ง(Honey) คือผลผลิตของน้ำหวานจากดอกไม้ และจากแหล่งอื่น ๆ ที่ผึ้งงานนำมาเก็บสะสมไว้ โดยผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมีแล้วสะสมไว้ในรังผึ้ง ซึ่งปกติแล้วน้ำผึ้งจะมีกลิ่น รส สี ที่ต่างกันออกไปตามชนิดของพืชนั้น ๆ จึงทำให้สามารถระบุชนิดของน้ำผึ้งตามชนิดของพืชนั้นได้ ๆ เช่น น้ำผึ้งจากดอกส้ม ดอกลำไย ดอกลิ้นจี่ ก็จะแตกต่างกันออกไปซึ่งนิยมนำมาใช้เป็นสารให้ความหวานในอาหารหรือเครื่องดื่มนานาชนิด
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง นั้นมีมากมาย เพราะน้ำผึ้งมีส่วนผสมของน้ำตาลและสารประกอบอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟรุกโทสกับกลูโคส และมีวิตามินและแร่ธาตุผสมอยู่ด้วย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี5 วิตามินบี6 กรดโฟลิก วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุทองแดง ธาตุสังกะสี เป็นต้น สำหรับสารประกอบอื่น ๆที่มีอยู่ในปริมาณเพียงน้อยนิดนั้นจะเป็นสารที่ทำหน้าที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นหลัก
ประโยชน์ของน้ำผึ้ง
1.             ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
2.             มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย
3.             ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย
4.             ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ดูมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ
5.             พอกหน้าด้วยน้ำผึ้งช่วยบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื่นและนุ่มนวล หลังล้างหน้าเสร็จให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วยำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
6.             ช่วยบำรุงรักษาผิวหน้าที่แห้งแตกลอกเป็นขุย ด้วยการนำไข่แดง 1 ฟองผสมกับน้ำผึ้งผสม 1 ช้อน คนให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก
7.             ช่วยบำรุงสมอง ช่วยในเรื่องของความจำ
8.             ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง
9.             ช่วยบำรุงเส้นผมให้นุ่มสวยเงางาม หลังสระผมเสร็จให้นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก
10.      ช่วยบำรุงเสียงให้ใส ลดอาการเจ็บคอ
11.      ช่วยลดสิวเสี้ยน สิวอุดตันบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเสร็จแล้ว ให้นำกล้วยหอมครึ่งลูก นำมาบดผสมรวมกับน้ำผึ้งแล้วยำมาทาหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
12.      นิยมนำมาใช้ผสมในเครื่องต่าง ๆ เช่น นม ชา กาแฟ โยเกิร์ต น้ำมะนาว หรือแม้กระทั่งเบียร์หรือไวน์
13.      นำมาใช้เป็นส่วนผสมในขนมหวานต่าง ๆ หรือผลิตภัณฑ์ธัญญพืชต่าง ๆ
14.      ใช้น้ำผึ้งแทนสารกันบูดในน้ำสลัด ซึ่งจะทำให้น้ำสลัดไม่เสียและเก็บได้นานถึง 9 เดือน
15.      น้ำผึ้งสามารถนำแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆได้อย่างหลากหลายเช่น มาส์กหน้า สบู่ เจลล้างหน้า สครับ เป็นต้น
16.      น้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ
17.      ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงต้านทานโรคต่าง ๆได้ดี
18.      ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในวัยเด็ก
19.      ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
20.      ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการทำงานหรือเล่นกีฬา
21.      ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของผู้ป่วยในระยะพักฟื้น หรือผู้สูงอายุ
22.      ช่วยบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆให้ดีขึ้น
23.      ช่วยในควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน
24.      ช่วยบำรุงเลือดในร่างกาย ด้วยการใช้น้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว แล้วบีบมะนาว ๅ ซีก ใส่เกลือเล็กน้อย แล้วเติมน้ำร้อนดื่ม
25.      ช่วยรักษาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น
26.      น้ำผึ้งสามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดในเด็กได้ดีกว่ายาแก้ไอ
27.      ช่วยรักษาอาการเมาค้าง
28.      ช่วยปรับสมดุลในร่างกายให้คงที่
29.      น้ำผึ้งมีฤทธิ์ยาระงับประสาทอ่อน ๆ จึงช่วยลดอาการหงุดหงิด ความกังวลได้
30.      ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ และช่วยทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น
31.      ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการใช้น้ำผึ้งและงาดำอย่างละ 50 กรัม โดยนำงาดำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำผึ้ง ชงกับน้ำร้อนดื่ม
32.      ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้สาลี่หอมจำนวน 5 ลูก น้ำผึ้ง 250 กรัม โดยปอกลูกสาลี่แล้วนำมาตำให้ละเอียด นำไปคลุกกับน้ำผึ้งแล้วต้มจนเหนียว แล้วนำมาผสมกับน้ำกิน
33.      ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เพราะน้ำผึ้งมีส่วนผสมของธาตุเหล็กซึ่งช่วยในการเพิ่มเม็ดเลือดแดง
34.      ช่วยบำรุงหัวใจ ขับชีพจร และป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
35.      ช่วยบำรุงและรักษาโรคตับ
36.      ช่วยระงับความร้อนในร่างกาย
37.      ช่วยรักษาอาการตาอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น กระจกตาอักเสบ เยื่อตาอักเสบ เป็นต้น
38.      ช่วยบรรเทาอาการไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ ด้วยการชงดื่มกับน้ำมะนาว
39.      น้ำผึ้งช่วยลดกรดในกระเพาะ ช่วยในการย่อยอาหาร เพราะน้ำผึ้งจะถูกดูดซึมทันทีเมื่อถึงลำไส้ ซึ่งต่างจากน้ำตาลชนิดอื่น
40.      ช่วยรักษาโรคกระเพาะ
41.      ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสียอย่างรุนแรง
42.      ช่วยแก้อาการท้องเดิน และช่วยบำรุงลำไส้ที่อักเสบให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
43.      ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแคนดิดา (Candida) ได้ดีพอ ๆกับยาฆ่าเชื้อแผนปัจจุบัน
44.      ช่วยแก้อาการเด็กปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ เพราะช่วยดูดความชื้นและช่วยอุ้มน้ำไว้
45.      ช่วยบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร ด้วยการนำกระเทียมผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานวันละ 3 ครั้ง
46.      ช่วยป้องกันการเกิดโรคข้ออักเสบ ด้วยการใช้น้ำส้มนำมาผสมกับแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน แล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละสองครั้ง
47.      ช่วยแก้อาการตะคริว หรือป้องกันการเป็นตะคริว
48.      ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มกับน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกลงได้
49.      ช่วยลดการอักเสบของบาดแผล
50.      ช่วยป้องกันการติดเชื้อของบาดแผลและช่วยให้แผลหายเร็ว
51.      ช่วยรักษาโรคฮ่องกงฟุต และกลาก เกลื้อน
52.      ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและต่อต้านจุลินทรีย์
53.      ช่วยแก้ปัญหาเด็กแหวะนม โดยใช้น้ำผึ้งผสมกับนมดื่ม
54.      ใช้เป็นน้ำกระสายยา



น้ำมันมะพร้าว สรรพคุณและประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว 52 ข้อ !





ภาพที่ 5 น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าว(Coconut Oil) คือ น้ำมันที่ได้จากการสกัดแยกน้ำมันจากเนื้อผลของ มะพร้าว (Cocos nucifera L.) โดยองค์ประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าวคือกรดไขมันอิ่มตัว (เกิน 90% ของปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) ซึ่งกรดไขมันเหล่านี้จะมีขนาดโมเลกุลปานกลาง (medium chain fatty acid) อย่างเช่น กรดลอริก (Lauric Acid) เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะถูกเผาผลาญได้ดี จึงถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว
จากการศึกษาพบว่าน้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีผลต่อการลดลงของน้ำหนักตัวของกลุ่มผู้ทดลอง (น้ำหนักตัวเท่าเดิม และไม่มีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น) และไม่ได้ทำให้ไขมันชนิดเลว (LDL) เพิ่มมากขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มระดับไขมันชนิดดี (HDL) จึงมีผลโดยตรงต่อการช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุมาจากไขมันเลวลงได้
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ที่จำหน่ายตามท้องตลาด ก็คือ น้ำมันที่สกัดมาจากเนื้อมะพร้าวโดยไม่ผ่านความร้อนและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี ซึ่งน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ หรือ Virgin Coconut Oil จะมีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีตะกอนและสามารถรับประทานได้
เรานิยมใช้น้ำมันมะพร้าวที่ดีที่สุดคือการใช้น้ำมันมะพร้าวแทนน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ ในการประกอบอาหาร หรือจะใช้รับประทานเป็นอาหารเสริมก็ได้เช่นกัน โดยผู้ใหญ่รับประทานวันละ 3-4 ช้อนชา ส่วนเด็กรับประทานวันละ 1-2 ช้อนชา โดยแบ่งรับประทานออกเป็นมื้อ ๆจนครบตามจำนวน หรือจะนำมาใช้ผสมเป็นเครื่องดื่มต่าง ๆหรือน้ำผลไม้ก็ได้เช่นกัน (น้ำมันมะพร้าวผสมกับน้ำมะเขือเทศก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว) และสำหรับสาว ๆ ส่วนมากจะนิยมใช้ในการหมักผม ใช้เป็นคลีนซิ่งทำความสะอาดผิวหน้า และนำมาใช้ทาบำรุงผิว เป็นต้น
น้ำมันมะพร้าวสามารถเป็นไขได้เมื่อมีอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศา โดยจะมีลักษณะเป็นครีมขาว เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันอิ่มตัวสูง จึงเป็นไขได้เร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากไปหาซื้อตามจุดที่วางขายอย่างในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ แล้วน้ำมันมะพร้าวจะเป็นไข ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องเสียหายอะไร แต่กลับเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าน้ำมันมะพร้าวยี่ห้อนี้มีคุณภาพที่ดีต่างหาก เมื่อซื้อมาแล้วก็เพียงแค่วางไว้ตามอุณหภูมิห้องก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่ห้ามตากแดดนะ
คำอธิบาย: http://www.verblick.com/ads/aco-350-300.png

การตรวจสอบคุณภาพของน้ำมันมะพร้าว
  • ในเบื้องต้นให้ดูที่โรงงานการผลิต ฉลากบนขวดมีเครื่องหมาย อย.รับรองหรือไม่
  • น้ำมันมะพร้าวที่ดีควรมีอายุการใช้งานนานมากประมาณ 5 ปีแม้จะเปิดใช้แล้วก็ตาม (แต่ถ้ามีกลิ่นเหม็นหืน เหม็นเปรี้ยวแล้วไม่ควรรับประทาน)
  • น้ำมันจะต้องมีความใส และความโปร่งแสง กรณีอาจจะดูไม่ชัดเจนถ้าบางยี่ห้อขวดมีสีไม่ใช่สีใส
  • น้ำมันมะพร้าวที่ดีต้องไม่มีกลิ่นหืนหรือกลิ่นเปรี้ยว แม้จะเปิดใช้แล้วก็ต้องไม่มีกลิ่น และต้องมีความหอมให้ความรู้สึกเหมือนเป็นน้ำมันสดใหม่
  • เนื้อของน้ำมันมะพร้าวเมื่อทาแล้วจะต้องให้ความรู้สึกเบาบาง มีความหนืดน้อย หรือเมื่อรับประทานจะรู้สึกเหมือนว่าละลายในปากและผ่านลำคอได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว และเมื่อกลืนลงคอจะต้องไม่มีเลี่ยนและไม่มีกลิ่นรุนแรง
  • น้ำมันมะพร้าวเมื่อนำมาใช้ทาผิวควรจะซึมเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว และต้องไม่คราบน้ำมันไว้บนผิว
ประโยชน์น้ำมันมะพร้าว
1.             น้ำมันมะพร้าวใช้ทาผิวเพื่อบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสไม่แห้งกร้าน
2.             ช่วยในการชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพราะน้ำมันมะพร้าวมีบทบาทในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี
3.             ไม่ทำให้อ้วน เป็นตัวช่วยเสริมสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีโมเลกุลขนาดกลางจึงถูกย่อยได้เร็วไม่มีการสะสมในร่างกาย โมเลกุลตัวนี้จะไปกระตุ้นกระบวนการเมตาบอ ลิซึม ทำให้แคลอรี่ที่เราทานเข้าไปในรูปของอาหารถูกเผาผลาญไปทำให้เหลือสะสมไขมันในร่างกายน้อยลง
4.             ช่วยลดน้ำหนักแบบทางอ้อม ด้วยการเพิ่มเมตาบอลิซึมทำให้เกิดความร้อน ทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น จึงช่วยลดน้ำหนักได้
5.             ช่วยทำให้รับประทานอาหารมื้อต่อไปได้น้อยลง ช่วยยืดและชะลอความหิวออกไปให้นานขึ้นจึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
6.             ช่วยล้างพิษ ขับพิษของเสียออกจากร่างกาย หรือช่วยดีท็อกซ์
7.             ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
8.             ช่วยบำรุงกำลัง
9.             เป็นอาหารให้แก่เซลล์ต่าง ๆในร่างกาย
10.      ช่วยทำให้ร่างกายปลอดเชื้อโรค
11.      ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้หัวใจมีสุขภาพดีและแข็งแรง
12.      ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ด้วยการช่วยเพิ่มไขมันชนิดดี (HDL) และไปช่วยลดไขมันเลว (LDL) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ
13.      ช่วยในการขยายหลอดเลือดและป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
14.      ช่วยลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
15.      ช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ไม่ให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง
16.      ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคเบาหวานให้หายขาด
17.      ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตับอ่อนในการสร้างอินซูลินจึงดีต่อผู้เป็นโรคเบาหวาน
18.      ช่วยทำให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่ต้องฉีดอินซูลินทุกครั้งที่น้ำตาลในเลือดมีระดับสูง
19.      ช่วยลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก
20.      ช่วยรักษาคางทูม ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็นคางทูมบ่อย ๆ วันละ 3 ครั้ง ประมาณ 3 วันอาการจะดีขึ้น (น้ำมันมะพร้าว)
21.      ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคท้องมาน (As Cites) (น้ำมันมะพร้าวอ่อน)
22.      ใช้เป็นยารักษาโรคอหิวาตกโรค (น้ำมันมะพร้าวอ่อน)
23.      ช่วยระบายท้อง ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
24.      น้ำมันมะพร้าวมีส่วนช่วยบำบัดรักษาโรคกระดูกไขข้อ
25.      มีการใช้น้ำมันมะพร้าวผสมขี้ผึ้ง หรือทำเป็นน้ำมันเหลืองใช้นวดทาแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้เป็นอย่างดี
26.      ช่วยรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจากการเป็นโรคเบาหวานมานานได้
27.      ใช้ทาแก้แผลน้ำร้อนลวกได้ (น้ำมันมะพร้าว)
28.      ช่วยสมานแผลไฟไหม้ได้เป็นอย่างดี
29.      น้ำมันมะพร้าวช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังได้
30.      ใช้เป็นยารักษาแผลเน่าเปื่อย
31.      ใช้รักษาอาการผดผื่นคันตามผิวหนังได้
32.      สามารถใช้รักษาโรคผิวหนังได้ (น้ำมันมะพร้าว)
33.      ช่วยแก้ชันนะตุพุพอง ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวผสมเหง้า ขมิ้นชัน สารส้มเล็กน้อย แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น (จะใช้น้ำมันมะพร้าวอย่างเดียวก็ได้)
34.      ช่วยรักษารังแคและเชื้อราบนหนังศีรษะ ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเคี่ยวน้ำกะทิแก่จัด แล้วนำมาทาบริเวณศีรษะทิ้งไว้ 30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพู โดยให้ใช้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (น้ำมันมะพร้าว)
35.      ช่วยรักษาโรคน้ำกัดเท้า ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวผสมกับสารส้ม น้ำปูนใส และเกลืออย่างละนิด ผสมให้เข้ากันแล้วเอามาทาบริเวณที่เป็นบ่อย ๆ จะทำให้หายเร็วขึ้น (น้ำมันมะพร้าว)
36.      น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อยีสต์ เชื้อไวรัส โปรโตซัว โดยไม่ทำให้เกิดอาการดื้อยาของเชื้อโรคและสามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคบางชนิดที่เกราะไขมันห่อหุ้มเซลล์ ซึ่งยาปฏิชีวนะทั่วไปไม่สามารถฆ่าได้
37.      น้ำมันมะพร้าวหมักผม ช่วยบำรุงเส้นผมทำให้ผมดกดำ ทำให้สวยเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการชโลมน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วหนังศีรษะ ในปริมาณที่เหมาะสม แล้วนวดหนังศีรษะจนน้ำมันซึมทั่วหนังศีรษะ เส้นผม ปลายผม แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาทีแล้วค่อยสระออก (น้ำมันมะพร้าว)
38.      ช่วยบำรุงผมเสีย แก้ปัญหาผมร่วง ผมแตกปลาย ด้วยการใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมผมตอนแห้งแล้วทิ้งไว้ 30 นาทีแล้วสรระออก จะทำให้เส้นผมนุ่มสลวยไม่พันกัน เส้นผมตรงมากยิ่งขึ้น
39.      น้ำมันมะพร้าว ผมร่วง ผมหงอกช่วยป้องกันได้
40.      น้ำมันมะพร้าวทาหน้า ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น แนะนำให้ใช้เฉพาะตอนกลางคืนหรือช่วงก่อนเข้านอน
41.      ใช้ทาหน้าท้องระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยทำให้ผิวบริเวณนี้มีความชุ่มชื้นไม่แห้งแตกลายได้
42.      น้ำมันมะพร้าวใช้ทาช่วยแก้อาการผิวแห้ง ผิวแตก ผิวลอก ผิวเป็นขุยได้
43.      น้ำมันมะพร้าว (ได้จากการต้มกากมะพร้าวบดหรือการบีบ) สามารถนำไปใช้ทำอาหารได้หรือใช้ผลิตเป็นเครื่องสำอางก็ได้
44.      น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริค (Lauric Acid) สูงมาก ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับกรดไขมันที่มีในนมแม่ เมื่อบริโภคเข้าไปจะถูกเปลี่ยนเป็นโมโนลอรินที่มีฤทธิ์ในหารช่วยฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส ยีสต์ โปรโตซัว เป็นต้น
45.      น้ำมันมะพร้าวสามารถนำมาใช้ทาผิวเพื่อป้องกันแสงแดด และยังป้องกันโรคมะเร็งจากแสงแดดได้อีกด้วย (แต่ใช้กันแดดจะดีกว่านะ)
46.      ใช้ทาผิวหลังอาบน้ำเพื่อป้องกันรอยหมองคล้ำจากแสงแดด ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวที่มีรอยหมองคล้ำค่อย ๆจางหายไปได้
47.      ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องสำอางหลายชนิด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ และชะลอการเกิดริ้วรอย
48.      แก้ปัญหาส้นเท้าแตก ด้วยการทาน้ำมันมะพร้าวและนวดคลึงทุกวันก่อนนอนติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์เมื่อหายแล้วให้ใช้ต่อไปเรื่อย ๆ รอยแตกจะไม่กลับมากวนใจคุณอีก
49.      ใช้เป็นคลีนซิ่งออยล์ทำความสะอาดผิว และยังมีส่วนช่วยในผลัดเซลล์ผิวอีกด้วย จึงช่วยทำให้ผิวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
50.      น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ใช้นวดเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้
51.      น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ สามารถนำมาใช้กับกิจกรรมทางเพศได้ ด้วยการนำมาใช้แทนสารหล่อลื่นธรรมชาติ เนื่องจากมีคุณสมบัติคล้ายสารหล่อลื่นในช่องคลอด
52.      น้ำมันมะพร้าว สามารถเก็บไว้ได้นาน ไม่เหม็นหืน แต่จะจับตัวแข็งเมื่อถูกความเย็น ที่สำคัญไม่มีควันเมื่อถูกความร้อนสูง เหมาะแก่การทอดอาหารหรือขนมแบบทอดกรอบหรือแบบน้ำมันท่วม หรือจะใช้ผสมในน้ำผลไม้ลงในน้ำส้มคั้น ใส่แกงจืด ทำเป็นน้ำสลัด ราดบนน้ำแข็งใส ไอศกรีม หรือจะใส่ลงไปพร้อมกับหุงข้าวก็ได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ข้าวมีความหอม นุ่มอร่อยเป็นพิเศษ




บทที่ 3
อุปกรณ์และวิธีการดำเนินงาน
อุปกรณ์
                1.น้ำทับทิม                                                                                                       25 มิลลิลิตร
                2.น้ำผึ้ง                                                                                                         2 ช้อนชา
3.น้ำมันมะพร้าว                                                                                 1 ช้อนชา
4.ปิโตเลียมเจล                                                                                     5 ช้อนโต๊ะ
5.ลิปสติกสีชมพู                                                                             ½ ช้อนชา
6.กระปุกเล็ก                                                                                        3 กระปุก
7.หม้อสำหรับใช้ต้ม                                                                           1 ใบ
8.ช้อนสำหรับคน                                                                     1 คัน
9. เตาแก๊ส                                                                                             1 เตา 10.
วิธีการทำ
การทำลิปบาล์มทับทิม
                1. นำน้ำทับทิมปริมาณ 3 ช้อนโต๊ะ นำไปตั้งไฟอ่อนๆกับ ปิโตรเลียมเจล 5 ช้อนโต๊ะ
2. ใส่น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 1 ช้อนชาลงไป
3. เติมสีโดยการใส่ลิปสติกสีชมพูลงไป 4. หลังจากนั้นนำมาล้างด้วยน้ำสะอาด 4 ครั้ง
5. คนเรื่อยๆจนทุกอย่างเข้ากัน
6. เมื่อทุกอย่างเข้ากันแล้วยกลงจากเตา
7. ตั้งทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง
8.นำไปแช่ตู้เย็น 5-10 นาที ก็จะแข็งตัวกลายเป็นลิปบาล์มจากทับทิม





บทที่ 4

ผลการทดลอง

                จากการศึกษาการทำลิปบาล์มทับทิม และเปรียบเทียบคุณภาพและสรพคุณลิปบาล์มทับทิมกับลิปบาล์มทั่วไป โดยการทดลองใช้จากตัวผู้ทำโครงงาน ผลการทดลองดังตาราง

ตารางที่ 1 แสดงลักษณะของลิปบาล์มทับทิมและลิปบาล์มทั่วไป
ชนิดลิปบาล์ม
บริเวณที่ทำการทดลอง
ผลที่ได้
ลิปบาล์มทับทิม
ริมฝีปาก
ปากมีสีชมพูอ่อนๆ ได้กลิ่นหอมของน้ำมันมะพร้าวกับน้ำผึ้ง มีรสหวานของน้ำผึ้ง ปากนุ่มชุ่มชื่น มันวาว
ลิปบาล์มทั่วไป
ริมฝีปาก
ทาแล้วไม่มีสี ได้กลิ่นกุหลาบอ่อนๆ นุ่มชุ่มชืนแต่หลุดง่าย ทาแล้วมันวาว

จากการศึกษาแลเปรียบเทียบลิปบาล์ม 2 ชนิด ลิปบาล์มจากทับทิมมีคุณภาพใกล้เคียงกับลิปบาล์มมากทั้งในเรื่องของเนื้อลิป สีและสรรพคุณบางอย่าง เช่น ช่วยบำรุงให้ริมฝีปากนุ่ม กักเก็บความชุ่มชื้น










บทที่ 5

อภิปรายและสรุปผลการทดลอง

สรุปผลการทดลอง
1.ลิปบาล์มทับทิมมีสรรพคุณดีกว่าลิมบาล์มทั่วไปบางยี่ห้อ
2.ลิปบาล์มจากทับทิมมีคุณภาพใกล้เคียงกับลิปบาล์มมากทั้งในเรื่องของเนื้อลิป สีและสรรพคุณ
อภิปรายผลการทดลอง
จากการศึกษาการทำลิปบาล์มทับทิม และเปรียบเทียบคุณภาพและสรรพคุณลิปบาล์มทับทิมกับลิปบาล์มทั่วไป โดยนำโดยนำน้ำทับทิม ปิโตรเลียม น้ำผึ้ง น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น มาทำเป็นลิปบาล์มจากทับทิม พบว่า
จากการศึกษาลักษณะลิปบาล์มทั้ง 2 ชนิด พบว่า ด้านลักษณะเนื้อ ลิปบาล์มจากทับทิมมีเนื้อ มีความนิ่ม ไม่ลื่นมาก และละเอียด ส่วนกลิ่นของลิปทับทิมเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำผึ้งและน้ำมันมะพร้าว และมีสีชมพูอ่อนๆของลิปสติกที่นำมาเป็นส่วนผสม สรรพคุณของลิปบาล์มทับทิม เนื่องจากเนื้อลิปมีลักษณะไม่ลื่นมากจึงสามารถเก็บความชื้นไว้ได้ยาวนาน และมีส่วนผสมของน้ำผึ้งจึงช่วยบำรุงให้ปากไม่แห้ง และดูอิ่มเอิบ และมีส่วนผสมสมจากทับทิมที่ช่วยป้องกันริมฝีปากจากแสงแดด ส่วนลิปสติกยี่ห้ออื่น พบว่า มีเนื้อละเอียดหนืดๆ  สีชมพูอ่อนๆกลิ่นหอมกุหลาบ  สรรพคุณช่วยเก็บความชุ่มชื้นไว้ยาวนานทำให้ปากไม่แห้ง ซึ่งลักษณะลิปบาล์ม 2 ชนิดค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก และมีสรรพคุณคล้ายกัน แตกต่างกันตรงที่ลิปบาล์มจากทับทิมเป็นลิปบาล์มที่ทำขึ้นผลไม้ ตาโดยรวมถือว่ามีสรรพคุณมากกว่า

           
ประโยชน์ที่ได้รับ
            1. เกิดการเรียนรู้ในเรื่องของการสร้างผลิตภัณฑ์โดยการนำสมุนไพร ผลไม้ วัสดุทางธรรมชาติ
                2. ผลิตลิปบาล์มจากทับทิมเป็นส่วนประกอบเพื่อเพิ่มความหลากหลายของลิปบาล์มให้เหมาะสมกับการ    ใช้งาน
                3.เพิ่มทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์


บรรณานุกรม
ทับทิม. (2554). (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.google.co.th/search?q=ทัมทิม
วันที่สืบค้น 20 สิงหาคม 2559
ทับทิม. (2554). (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://puechkaset.com/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A1/
วันที่สืบค้น 19 กันยายน 2559
ริมฝีปาก. (2553). (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://www.doctor.or.th/article/detail/3444
วันที่สืบค้น 19 กันยายน 2559
น้ำผึ้ง. (2555). (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http:// http://frynn.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87/
วันที่สืบค้น 19 กันยายน 2559
น้ำมันมะพร้าว.. (2553). (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http:// http://frynn.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7/
วันที่สืบค้น 19 กันยายน 2559














ภาคผนวก

















ภาพอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำลิปบาล์มทับทม











ภาพใส่ปิโตเลียมเจลลงในหม้อ








ภาพใส่น้ำทับทิม น้ำผึ้ง และน้ำมันมะพร้าวลงไปในหม้อ






ภาพใส่ลิปสติกสี








ภาพคนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน









ภาพตักลิปลงใส่กระปุกที่เตรียมไว้







ภาพการนำลิปแช่ตู้เย็น









ภาพลิปบาล์มทับทิป





4 ความคิดเห็น: